วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการถ่ายภาพวิดีโอ


เทคนิคการถ่ายภาพวิดีโอ

มุมกล้อง

การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ

1.ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา

2.ภาพมุมต่ำการถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า

3.การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ

เทคนิคการซูมและการโพกัส

1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง

2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์

3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูราย ละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ

4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล


การแพนกล้อง
การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่ จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ


การบันทึกเป็นช็อต

“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก คือไม่ควรเกิน 5 วินาทีต่อ 1 ช็อต


วิธีการบันทึกเป็นช็อต

การ ถ่ายเป็นช็อตนี้ จะต้องเลือกมุม เลือกระยะที่จะถ่ายก่อน เลือกว่าจะถ่ายแบบไหนที่จะได้องค์ประกอบครบถ้วน ยกกล้องขึ้นส่อง จัดองค์ประกอบ แล้วถือให้นิ่ง กดบันทึก นับ 1-2-3-4-5 แล้วกดหยุด ในระหว่างกดบันทึกห้ามสั่น ห้ามไหวเด็ดขาด วิธีการไม่ยากนัก โดยให้รอจังหวะ หลักการง่ายๆคือนิ่งๆเข้าไว้ และไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งหมดหรือถ่ายยืดยาว เลือกแค่เป็นช็อตสำคัญก็พอ

รูปแบบการบันทึกเป็นช็อต

Wide Shot (WS) “Extreme Long Shot” เป็นการถ่ายวิดีโอที่โชว์ภาพโดยรวม หรือเปิดให้เห็นทั้งวัตถุหลักที่อยู่ท่รามกลางบรรยากาศรอบข้าง

Long Shot (LS) เป็นการซูมเข้ามาเพื่อเก็บรายละเอียดของวัตถุหลักมากขึ้น แต่ยังคงเก็บภาพแวดล้อมรอบข้างไว้ด้วย เพื่อบอกเล่าเรื่องราว

Medium Shot ยังแบ่งเป็น Medium Long Shot,Medium Shot,
Medium Ciose-up Shot (MCU) เป็นการเก็บรายละเอียดเฉพาะส่วนบนหรือครึ่งบนขอวัตถุหรือเรียกว่า

การถ่ายภาพครึ่งตัวของภาพนั้นๆ

Close-up Shot (CU) เป็นการซูมให้เห็นเฉพาะวัตถุหลัก โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพื่อให้เห็นว่าต้องการระบุ รายละเอียดเฉพาะวัตถุเท่านั้น ถ้าเป็นการถ่ายวิดีโอบุคคลก็จะเก็บภาพตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป

ข้อดีของการบันทึกเป็นช็อต

ช็อตมุมกว้าง คือ บอกให้รู้สถานที่ และให้ได้รู้ว่าเป็นงานอะไร สถานที่ที่ไหน หากว่าถ่ายเห็นป้ายของงงานเข้าไปด้วยยิ่งดี การถ่ายแบบนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราว บอกเล่าเรื่องราวตามลำดับขั้น ว่ามีใครทำอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นงานพิธีหรือถ่ายกันเล่นๆ เพราะว่าภาพจะสลับมุมต่างๆมาให้ชมเป็นระยะทำให้ไม่น่าเบื่อ

ช็อตการแพน การ ยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา

เทคนิคการเคลื่อนที่กล้องโดยไม่ให้สั่นไหว

“การไวด์” หรือ” Wide Shot” เป็นวิธีที่ช่วยอำพรางการสั่นไหวของกล้องได้ซึ่งแม้ว่ากล้องจะสั่น ภาพจะไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเพราะว่ามันมีภาพมุมกว้างที่หลอกตาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเดินถือกล้องถ่ายแบบนี้ละก็ จะต้องเลือกระยะกล้องที่ไกลสุด โดยการดึงภาพด้วยการซูมออกมา เรียกว่า”ลองช็อต“(Long Shot) เป็นประคองกล้องเดินช้าๆแบบนุ่มนวล โดยไม่ต้องซุฒเข้าไปอีก ควรปล่อยให้เป็นภาพมุมกว้างเข้าไว้

การเดินก็สำคัญหากมัวแต่เดินจำพรวดทิ้งน้ำหนักตัวแบบเต็มที่แบบนี้ภาพที่ได้จะกระตุกเป็นจังหวะแน่ๆก็ขอแนะนำให้การเดินถ่ายกล้องนั้นต้องระวังทุกฝีเท้า การเดินด้วยปลายเท้า เกร็งและย่อขาเล็กน้อยจะช่วยให้กล้องนิ่งและมั่นคงขึ้น ช่วยให้เดินถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพ ภาพที่ได้จะนิ่งการถือกล้องแบบแบกบ่า บางครั้งอาจจะไม่ถนัดสำหรับเดินถ่ายเสมอไป สามารถแก้ไขด้วยการลดกล้องมาอยู่ในมือ ในอ้อมแขนนั้นจะเป็นการดี เพราะช่วยประคองกล้องได้อีกชั้นด้วยซ้ำไป แถมอาจจะได้มุมที่แปลกตาไปจากการแบกบนบ่า

การถ่ายให้กระชับ

การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง


ที่มา:https://krubeenan.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%87/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD/

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการอัพโหลดวีดีโอลง Youtube และวิธีการนำวีดีโอจาก Youtube มาใส่ในหน้าเว็บของคุณ

วิธีการอัพโหลดวีดีโอลง Youtube และวิธีการนำวีดีโอจาก Youtube มาใส่ในหน้าเว็บของคุณ

ขั้นตอนการอัพโหลดวีดีโอ
1. เข้าไปที่หน้าเว็บของ youtube (ต้อง login สมาชิกก่อนนะครับ) เมื่อเข้าไปที่หน้าเว็บ youtube แล้ว ก็กดปุ่ม "อัปโหลด" (ดังรูป)


2. ใส่ค่าต่าง ๆ ตามที่ youtube กำหนดให้คุณกรอกข้อมูลใส่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะปรากฎบนช่อง youtube พร้อมกันกับวีดีโอของคุณ


3. ทำการเลือกไฟล์วีดีโอที่คุณต้องการอัพโหลด



4. เมื่อเลือกไฟล์วีดีโอเรียบร้อยแล้ว ระบบจะทำการอัพโหลดวีดีโอของคุณ โดยกระบวนการอัพโหลดไฟล์วีดีโอของคุณ จะใช้ระยะเวลาหนึ่ง (สังเกตุได้จาก progress bar ที่เป็นแถบสีน้ำเงินด้านบน จะบอกเปอร์เซ็นต์ของการอัพโหลด) ขึ้นอยู่กับขนาดความใหญ่ของไฟล์วีดีโอของคุณด้วย


5. ระบบจะให้คุณกรอกรายละเอียดของวีดีโอที่คุณต้องการเผยแพร่ เช่น "ชื่อวีดีโอ" และ "คำอธิบายเกี่ยวกับวีดีโอ" ซึ่งในส่วนของคำอธิบาย คุณสามารถใส่ link มายังเว็บของคุณก็ได้ เป็นการเพิ่มช่องทางการทำ "SEO" (Search Engine Optimization) และทำให้คนที่เข้ามาดูวีดีโอนี้ หากสนใจ ก็สามารถคลิกเข้าไปที่เว็บของคุณต่อได้ ถือเป็นอีก1 ช่องทางดี ๆ ในการโปรโมทเว็บของคุณไปในตัว



6. เมื่อใส่รายละเอียดต่าง ๆ เรียบร้อยหมดแล้ว ก็กด "+ เพิ่มในเพลย์ลิสต์" เพื่อนำวีดีโอของคุณใส่เข้าไปใน Play List ของ youtube


เพียงเท่านี้วีดีโอของคุณก็จะถูกนำไปแสดงบน youtube และ คนอื่น ๆ ก็สามารถนำวีดีโอของคุณไปแปะไว้ในหน้าเว็บอื่น ๆ ได้

--------------------------------------------
หลังจากที่คุณรู้วิธีการอัพโหลดวีดีโอขึ้น youtube ไปแล้ว ในขั้นตอนถัดมา ผมจะแนะนำสำหรับวิธีการที่จะนำวีดีโอจาก youtube ไปแปะใส่ไว้ที่หน้าเว็บของคุณ
วิธีการนำวีดีโอจาก youtube มาใส่ลงในหน้าเว็บ
ถ้าหากว่า คุณต้องการที่จะนำไฟล์วีดีโอจาก youtube มาใส่ลงในหน้าเว็บ คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

วิธีการนำวีดีโอจาก Youtube มาใส่ลงที่หน้าเว็บของคุณ

1. ค้นหาวีดีโอที่คุณสนใจ และต้องการได้จาก youtube



2. คลิกเข้าไปดูวีดีโอนั้น... เมื่อเปิดเข้ามาที่หน้าแสดงวีดีโอ ให้กดปุ่มตามขั้นตอนต่อไปนี้
    2.1. กดปุ่ม "แชร์"
    2.2. เลือกวิธีการแชร์ แบบ "ฝัง"
    2.3. ระบบจะแสดง code ขึ้่นมาให้คุณ ซึ่ง code นี้ ให้นำไปแปะไว้ที่หน้าเว็บของคุณ





3. ไปที่ระบบบันทึกข้อมูลที่หน้าเว็บของคุณ ถ้าหากเว็บของคุณเป็นเว็บสำเร็จรูป จะมีปุ่มให้คุณใส่ code HTML (ปุ่มใส่ code จะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ Editor ที่ระบบมีให้คุณใช้งาน)


4. กดปุ่มใส่รหัส HTML แล้วนำ code ที่ได้จาก youtube มาแปะใส่ลงไป



5. Editor จะแสดงส่วนของวีดีโอที่คุณใส่ไว้ขึ้นมาให้เห็น กดบันทึกข้อมูล

และเมื่อคุณบันทึกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดดูที่หน้าเว็บของคุณ ก็จะเห็นวีดีโอแสดงขึ้นมาให้เห็น (ดังรูป)


เมื่อมีคนเข้ามาที่หน้าเว็บ ก็สามารถกดดูวีดีโอไฟล์นี้ได้จากหน้าเว็บของคุณทันที

--------------------------------------------

จะเห็นว่า youtube มีประโยชน์อย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งช่องทางดี ๆ ที่คุณสามารถเผยแพร่เว็บของคุณให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งเป็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์อีกทางหนึ่งที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม
รู้อย่างนี้แล้ว คุณจะยังลังเลอะไร
มาทำไฟล์วีดีโอ และอัพขึ้น youtube กันเลยครับ ^^

ที่มา:http://www.clickblogzone.com/csz/blog/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%87_Youtube_%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81_Youtube_%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-1018-blogdetail.html

การใส่ข้อความลงบนภาพหรือคลิบวิดีโอ


การใส่ข้อความลงบนภาพหรือคลิบวิดีโอ


เป็นการใส่ข้อความลงในวิดีโอที่กำลังตัดต่อ เพื่อให้แสดงข้อความในบางตอนของวิดีโอ

1. ลักษณะของข้อความที่ปรากฏบนภาพ

2. คลิกที่ภาพหรือวิดีโอ เพื่อเลือกก่อน

3. คลิกที่ Make title or credits

4. คลิกเลือกตำแหน่งที่จะวางข้อความ ให้คลิกเลือก title on the selected clip วางบนตัวภาพ หรือคลิบวิดีโอเลย

ตัวเลือกอื่นๆ

- title at the begining วางไว้ตอนต้น ก่อนเริ่มเล่นวิดีโอ

- title before the selected clip วางไว้ก่อนภาพหรือคลิบวิดีโอที่ได้เลือก

- title after the selected clip วางไว้หลังภาพหรือคลิบวิดีโอที่ได้เลือก

- credits at the end วางข้อความแสดงความเป็นเจ้าของผลงาน ไว้ตอนจบหรือตอนท้ายของการ เล่นวิดีโอ


5. คลิกและพิมพ์ข้อความ การตัดข้อความลงบรรทัดใหม่ ให้กดปุ่ม Enter ที่แป้นพิมพ์

6. ตัวอย่างข้อความจะแสดงในส่วนนี้

7. คลิก Change the title animattion เพื่อเปลี่ยนเอฟเฟ็คต์ข้อความ

8. ลักษณะของ animation แบบต่างๆ ให้คลิกเลือกได้ตามต้องการ

9. ดูตัวอย่างได้ที่นี่

10. การจัดการกับตัวหนังสือหรือฟอนต์ สามารถเลือกแบบตัวหนังสือได้ตามต้องการ ปกติจะเป็น Microsoft Sanf Serif ให้คลิกที่ Change the text font and color

11. คลิกเลือกตัวหนา (B) ตัวเอียง (I) หรือตัวขีดเส้นใต้ (U) ได้ตามต้องการ

12. Color คลิกเลือกสีตัวหนังสือ

13. Transparency กำหนดความโปร่งใสของตัวหนังสือได้

14. Size คลิกเลือกขนาดของตัวหนังสือ เพิ่มหรือลดขนาดได้

15. Position คลิกเลือกตำแหน่งการวางข้อความ ซ้าย กลาง ขวาของหน้าจอได้

16. ถูกใจแล้ว ให้คลิก Done, add title to movie หรือ Cancel ถ้าจะยกเลิก

17. คลิกภาพหรือคลิบวิดีโอแรกสุด แล้วคลิกปุ่ม Play ดูผลงานที่ได้

18. ในกรณีที่ต้องการลบเอฟเฟ็คต์แบบข้อความ ในส่วน Title OverLay ให้คลิกปุ่มขวาที่ชื่อของ ข้อความ เรียกคำสั่งลัด

19. คลิกคำสั่ง Delete


ที่มา:http://www.siamebook.com/lbro/videos-section/124-11003-windows-movie-maker/705-insert-text-in-video-making.html

การหาแสงไฟธรรมชาติในการถ่ายวีดีโอตอนกลางคืนและการจัดแสงไฟสตูดิโอ


การหาแสงไฟธรรมชาติในการถ่ายวีดีโอตอนกลางคืนและการจัดแสงไฟสตูดิโอ

ในการถ่ายวีดีโอตอนกลางคืน สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับช่างถ่ายวีดีโอทุกคนคือเรื่องของไฟไม่เพียงพอ ซึ่งเมื่อถ่ายวีดีโอและนำมาตัดต่อแล้ว ภาพที่ได้จะเกิด noise ขึ้นมากมาย เนื่องจากการปรับเพิ่ม gain ความสว่างในกล้องถ่ายวีดีโอ เราจะมีวิธีการอย่างไรในการเพิ่มแสงสว่างให้กับฉากของเรา โดยที่เราไม่สะดวกในการขนอุปกรณ์ไฟต่างๆไปถ่ายวีดีโอ เราอาจจะใช้ไฟจากสิ่งรอบตัวเป็นตัวช่วย หรืออาจจะใช้ reflector ช่วยในอีกทางหนึ่ง เรามาลองติดตามกันดูว่า สามารถประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างไร


เมื่อเราต้องออกรับไปถ่ายวีดีโอในตอนกลางคืนในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเตรียมอุปกรณ์ไฟต่างๆไปได้ เช่น ออกไปทัศนศึกษา ออกไปเดินป่า เรามีวิธีการที่จะรับมือในการถ่ายวีดีโอในสถานการณ์ที่มีไฟไม่เพียงพอในการถ่ายวีดีโอเช่นนั้นอย่างไร ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดูโดยประยุกต์กับการโพสท่าแบบต่างๆ

1. ใช้แสงไฟจากเสาไฟฟ้าช่วยถ่ายวีดีโอ

ลองพยายามหาลานจอดรถหรือบริเวณที่มีเสาไฟฟ้า เราจะอาศัยแสงไฟจากเสาไฟฟ้าช่วยในการถ่ายวีดีโอกัน โดยการวางตำแหน่งของวัตถุกับทิศทางของไฟจะมีด้วยกัน 4 รูปแบบ คือ





Broad Lighting

ให้แสงไฟหลักจากเสาไฟฟ้าส่องลงมายังด้านข้างของวัตถุเป็น Key Light อาจจะใช้ Reflector เป็น Fill Light โดยวางในตำแหน่งประมาณ 45 องศากับตำแหน่ง Key light การจัดไฟถ่ายวีดีโอรูปแบบนี้จะเน้นคุณลักษณะของใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูกว้างขึ้นและริ้วรอยดูลดลง





Short Lighting

การวางตำแหน่งของวัตถุและแสงไฟจะคล้ายๆกับแบบ Broad Lighting เพียงแต่เปลี่ยนทิศทางการหันหน้าของวัตถุ การจัดไฟถ่ายวีดีโอรูปแบบนี้จะให้อารมณ์ของแบบมากกว่า เพราะว่าจะเห็นริ้วรอยอย่างชัดเจน แต่รูปหน้าจะดูเล็กกว่าปกติ





Butterfly Lighting

มีชื่อเรียกตามเงาที่เกิดขึ้นใต้จมูกจะมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ตำแหน่งของ Key Light ให้อยู่สูงกว่าระดับสายตาประมาณ 25-70 องศา อาจจะใช้ Reflector ช่วยโดยวางอยู่ในตำแหน่งดังรูป การจัดไฟถ่ายวีดีโอรูปแบบนี้เหมาะกับรูปหน้าทุกประเภท โดยเฉพาะรูปหน้าค่อนข้างเล็ก เพราะมันจะทำให้โหนกแก้มดูใหญ่ขึ้น





Rembrandt Lighting

เป็นการจัดไฟถ่ายวีดีโอที่เน้นอารมณ์ของแบบมากที่สุด รูปแบบการจัดไฟจะคล้ายกับ Short Lighting โดย Key Light จะวางอยู่สูงกว่าระดับสายตาเหมือนกับ Butterfly Lighting จะเกิดเงาของจมูกไปยังแก้มของใบหน้าอีกฝั่งหนึ่ง เงาที่เกิดขึ้นจะมีรูปคล้ายสามเหลี่ยม





2. ใช้แสงไฟจากรถยนต์ช่วยถ่ายวีดีโอ

เมื่อเราจะถ่ายวีดีโอฉากที่อยู่บนท้องถนน เราอาจจะใช้แสงไฟจากรถยนต์ของเราช่วย โดยเปิดไฟส่องมาที่ข้างหลังของวัตถุและใช้ Reflector เป็น Fill Light วางไว้อยู่ข้างหน้าช่วยสะท้อนแสงไฟเพื่อลบเงาของวัตถุ ถ้าเราถ่ายวีดีโอโดยใช้วิธีนี้ในเวลาพลบค่ำหลังจากฝนตก เราจะได้ท้องฟ้าที่สวยงามมาก





เราอาจจะลองเปลี่ยนมาถ่ายวีดีโอในตำแหน่งที่แสงไฟส่องเข้าไปหาวัตถุ จะได้อารมณ์ของภาพมากขึ้นในรูปแบบ Deer in Headlights ลองถ่ายวีดีโอในมุมต่างๆกันก็จะให้อารมณ์ของภาพแตกต่างกัน





เราอาจจะลองเล่นกับแสงเงาดูก็ได้โดยการให้วัตถุอยู่ใกล้กับกำแพง ให้วัตถุเคลื่อนที่เข้าหากล้องวีดีโอ ส่วนช่างถ่ายวีดีโอให้เดินถอยหลังหนีออกไป และให้ใช้แสงไฟจากรถยนต์ เงาที่เกิดจากแสงไฟของรถยนต์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของในฉาก ซึ่งจะให้อารมณ์ของภาพออกมาเป็นแนวลึกลับ ตื่นเต้น





3. ใช้แสงไฟจากร้านสะดวกซื้อหรือปั้มน้ำมันช่วยถ่ายวีดีโอ

ปกติร้านค้าต่างๆตามท้องถนนจะติดไฟไว้หน้าร้านจำนวนมากเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้าน 7-eleven มีร้านค้าตั้งอยู่จำนวนมากทุกหนทุกแห่ง และก็ปั้มน้ำมันสำหรับต่างจังหวัด ก็มีมากมายหลายแห่ง เราสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้เลยเพราะว่าแสงไฟค่อนข้างเพียงพอ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ Reflector ช่วยก็ได้





ที่มา:http://www.xn--l3cdl7ac1a7b0al6ab0nxc.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD/

ความรู้พื้นฐานในการสร้างการสร้าง "วีดีโอ / หนังสั้น"


ความรู้พื้นฐานในการสร้างการสร้าง "วีดีโอ / หนังสั้น"

การสร้างวีดีโอ

การสร้างคลิปวีดีโอนั้น แม้ว่าเรามาภาพต้นฉบับดีๆ วีดีโอสวยๆ มีเสียงเพลงเพราะๆ มีคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ดี ก็ใช่ว่าเราจะสร้างงานออกมาแล้วจะดีไปด้วย ความน่าสนใจของคลิปวีดีโอ ต้องอาศัยจินตนาการ, ความคิดสร้างสรรค์ ในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการ"ผลิต" โดยหลักการทางทฤษฎีแล้วประกอบด้วย 3 ขั้นตอน หรือ 3 P

- Pre-Production คือ การเตรียมการก่อนการผลิต

- Production คือ การดำเนินการถ่ายทำ

- Post-Production คือ การตัดต่อและการนำเสนอ

ดังนั้น การจะสร้างงานออกมาให้ดีและเป็นที่น่าสนใจ เราจำเป็นต้องเตรียมการในเรื่องเหล่านี้

- Concept & Theme

- Script & Story Board


Concept & Theme

เป็นการกำหนดแนวคิดและทิศทางของคลิปวีดีโอเรา รวมถึงรูปแบบในการนำเสนอ เช่น คลิป"ส่งเสริมการปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว" มี Concept คือ ต้องนำเสนอความสนุกสนานในการปั่นจักรยานไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ดังนั้น Theme ของเรื่องนี้ก็คือ สถานที่และเส้นทาง ที่สวยงาม ... ซึ่งจะส่งผลต่อ Script และ Storyboard จะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน

Script

สคริปต์ หรือ บท คือรายละเอียดของตัวละคร, ฉาก, มุมกล้อง, การตัดต่อ, ตัวหนังสือ, เสียงประกอบ ... ฯลฯ ทุกอย่างต้องระบุในสคริปต์ทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามที่ต้องการ

Story board

ตามหลักการของการสร้างภาพยนตร์ เป็นภาพวาดแบบร่าง ที่สร้างขึ้นจากสคริปต์ หากระบุรายละเอียดได้มาก การทำงานจะสะดวกมากขึ้น

ในทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ 3D-Animation บันทึกเสียงประกอบแบบภาพยนตร์จริงๆ

... แต่สำหรับระดับเราๆ สร้างคลิปวีดีโออัพขึ้น Youtube คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น


เอาแบบง่ายๆ ก็คือภาพ sketch ใน shot ต่างๆ พร้อมคำบรรยาย หรือ บทสนทนา เป็นการช่วบลำดับเหตุการณ์





ตารางสำหรับบันทึก story board

ส่วนประกอบของ Story Board
ตัวละคร / ฉาก / เรื่องราว
มุมกล้อง
เสียง / คำบรรยาย
เวลา





ตัวอย่าง Story Board


ประโยชน์ของ Story Board
ช่วยควบคุมเรื่องราวให้อยู่ใน Concept ที่วางไว้
ลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง
ทราบเวลาที่ใช้คร่าาวๆ

ดังนั้นพอสรุปขั้นตอนคร่าวๆ ได้ดังนี้
กำหนด Theme
เขียนเรื่องย่อ
กำหนดตัวละคร / ฉาก
เขียนบท
เขียน Story Board
ถ่ายทำ -> ภาพนิ่ง/วีดีโอ
ตัดต่อ -> Sony vegas
นำเสนอผลงาน --> Youtube

ที่มา:http://www.tigersmile.net/2014/10/blog-post.html

โปรแกรมการตัดต่อวิดีโอ(โปรแกรม Corel Video Studio Pro X2)

โปรแกรมการตัดต่อวิดีโอ(โปรแกรม Corel Video Studio Pro X2)


โปรแกรม Corel Video Studio Pro X2 เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่มีการใช้งานไม่ยากจนเกินไป แม้ผู้ที่เริ่มใช้งานก็สามารถที่จะสร้างวีดีโอได้เหมือนกับผู้ที่มีประสบการณ์ตัดต่อวีดีโอมานาน โปรแกรมนี้มีเครื่องมือต่างๆ สำหรับตัดต่อวีดีโออย่างครบถ้วน เริ่มตั้งแต่จับภาพจากกล้องเข้าคอมพิวเตอร์ ตัดต่อวีดีโอ ใส่เอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ แทรกดนตรีประกอบ แทรกคำบรรยาย ไปจนถึงบันทึกวีดีโอที่ตัดต่อกลับลงเทป, VCD, DVD หรือแม้กระทั่งเผยแพร่ผลงานทางเว็บ
โปรแกรม Corel Video Studio มีการทำงานเป็นขั้นตอนที่ง่าย ตั้งแต่จับภาพ ตัดต่อไปจนถึงเขียนลงแผ่น นอกจากนี้แล้ว โปรแกรมยังมีเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ อีกมากมาย ไตเติ้ลสำเร็จรูปแบบมืออาชีพ รวมทั้งยังมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับสร้างซาวด์แทร็คอย่างง่ายๆ อีกด้วย
ในการสร้างวีดีโอนั้น เริ่มแรกจับภาพวีดีโอจากกล้องหรือว่าดึงไฟล์วีดีโอจากแผ่น VCD/DVD เข้ามาจากนั้นก็ตัดแต่งวีดีโอที่จับภาพมา เรียงลำดับเหตุการณ์ ใส่ทรานสิชั่น (Transtion - เอ็ฟเฟ็กต์ที่ใส่ระหว่างคลิปวีดีโอ ทำให้การเปลี่ยนคลิปวีดีโอจากคลิปหนึ่งไปยังอีกคลิปหนึ่งน่าดูยิ่งขึ้น) ทำภาพซ้อนภาพ ใส่ไตติ้ล ใส่คำบรรยาย แทรกดนตรีประกอบ ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้จะแยกแทร็คกัน การทำงานในแต่ละแทร็คจะไม่มีผลกระทบกับกับแทร็คอื่นๆ เมื่อทำเสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การเขียนวีดีโอลงแผ่น
การตัดต่อใน Corel Video Studio นั้น จะสร้างเป็นไฟล์ Project ขึ้นมา (.VSP) ซึ่งไฟล์นี้จะเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ หากว่าทำงานยังไม่เสร็จก็สามารถเปิดเพื่อทำงานต่อในภายหลังได้ ไฟล์นี้จะมีขนาดเล็ก การตัดต่อวีดีโอนี้ แม้จะตัดต่ออย่างไรในวีดีโอ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อไฟล์ต้นฉบับ ข้อมูลการตัดต่อต่างๆ จะบันทึกอยู่ในไฟล์ project ทั้งหมด แต่เมื่อมีการสร้างวีดีโอที่ได้จากการตัดต่อ โปรแกรมอ่านข้อมูลจากต้นฉบับตามข้อมูลที่อ้างอิงในไฟล์ project นี้
ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์
ในปัจจุบันนี้มีระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่นิยมใช้ในแถบภูมิภาคต่างๆ คือ
          1.ระบบ NTSC (National Television Standards Committee) เป็นระบบโทรทัศน์สีระบบแรกที่ใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปีค.ศ.1953 ประเทศที่ใช้ระบบนี้ต่อ ๆ มาได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา
เปอเตอริโก้ และเม็กซิโก เป็นต้น
          2.ระบบ PAL (Phase Alternation Line) เป็นระบบโทรทัศน์ที่พัฒนามาจากระบบ NTSC ทำให้มีการเพี้ยนของสีน้อยลง เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปีค.ศ.1967 ในประเทศทางแถบยุโรป คือ เยอรมันตะวันตก อังกฤษ ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม บราซิล เดนมาร์ก นอร์เวย์สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และมีหลายประเทศในแถบเอเซียที่ใช้กันคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
          3.ระบบ SECAM (SEQuentiel A Memoire("memory sequential")) เป็นระบบโทรทัศน์อีกระบบหนึ่งคิดค้นขึ้นโดยDr.Henry D.France เริ่มใช้มาตั้งแต่ปีค.ศ.1967 นิยมใช้กันอยู่หลายประเทศแถบยุโรปตะวันออก ได้แก่ ฝรั่งเศส อัลจีเรีย เยอรมันตะวันออก ฮังการี ตูนีเซีย โรมาเนีย และรัสเซีย* เป็นต้น
*ระบบ SECAM ที่รัสเซียใช้มี 625 เส้น
คุณภาพของระบบโทรทัศน์สีในระบบต่างๆ
          1.ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีข้อดี คือ สามารถมองเห็นภาพได้ 30 ภาพ/วินาที (ระบบอื่นมองเห็นได้ 25 ภาพ/วินาที) ทำให้การสั่นไหวของภาพลดน้อยลง และเนื่องจากสัญญาณภาพใช้ความกว้างของคลื่นสัญญาณน้อย ทำให้ภาพถูกรบกวนน้อย ภาพที่ได้รับจึงมีความคมชัดมากขึ้น ส่วนข้อเสีย นั้นเกิดจากการที่เส้นสแกนภาพมีจำนวนน้อย หากใช้จอภาพเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่รับภาพจะทำให้รายละเอียดภาพมี น้อย ดังนั้นภาพจึงขาดความคมชัดและถ้าใช้เครื่องรับโทรทัศน์ขาว-ดำ สัญญาณสีที่ความถี่ 3.58 MHz จะเกิดการรบกวนสัญญาณขาว-ดำ ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของสี วิธีแก้ไข ต้องปรับแก้
ที่เครื่องรับโทรทัศน์ เพื่อให้ได้ภาพเป็นธรรมชาติ ซึ่งต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้รับชมปรับแต่งสีให้ภาพได้ดี
           2.ระบบ PAL เป็นระบบที่ให้รายละเอียดของภาพสูง ไม่มีความผิดเพี้ยนของสี ภาพที่ได้เป็นธรรมชาติ ความเข้มของภาพสูง (High Contrast) ดีกว่าระบบ NTSC แต่มีข้อเสียคือภาพที่มองเห็นมีความสั่นไหวมากกว่าระบบ NTSC เนื่องจากภาพที่มองเห็น 25ภาพ/วินาทีถูกรบกวนสัญญาณ ภาพสูง สาเหตุเพราะมีความกว้างของสัญญาณภาพมากกว่า (Higher Bandwidth)ระบบ NTSCจุดอิ่มตัวความสว่างของสีน้อย(reduce the color saturation)ทำให้เห็นความสว่างของสีน้อยลง
          3.ระบบ SECAM เป็นระบบที่ไม่มีความผิดเพี้ยนของสี รายละเอียดของภาพมีคุณภาพสูงเทียบเท่ากันระบบ PAL ข้อเสีย ภาพจะมีการสั่นไหวเหมือนระบบ PALส่วนการตัดต่อภาพในระบบนี้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งในการผลิตรายการโทรทัศน์ส่วนมากใช้ระบบ PAL และเมื่อผลิตเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนกลับไปเป็นระบบ SECAM แล้วจึงส่งออกอากาศและเนื่องจากความกว้างของคลื่นสัญญาณมีน้อยจึงทำให้เกิดคลื่นความถี่สัญญาณสีรบกวนภาพ (Patterning Effects) จึงทำให้ภาพเกิดมีสีรบกวนในขณะรับชมรายการได้
ระบบโทรทัศน์สีที่ใช้งานทั่วโลก ในระบบอะนาล็อกยังมีการแบ่งย่อยจากระบบใหญ่ๆทั้ง ระบบดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมของกระแสไฟฟ้าที่แต่ละประเทศใช้งาน และความเหมาะสม กับประเทศที่ใช้งานกำหนดโดยสหภาพวิทยุโทรคมนาคม (ITU) เช่นกระแสไฟฟ้า 60 Hz จะใช้ระบบสัญญาณโทรทัศน์สี Field frequency 60 Hz และกระแสไฟฟ้า 50 Hz จะใช้ระบบสัญญาณโทรทัศน์สีField frequency 50 Hz ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความถี่ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้รบกวนสัญญาณภาพ
          ระบบสัญญาณโทรทัศน์สีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน มีคุณภาพสัญญาณที่ดีไม่พบข้อเสีย ดังนั้นในการพิจารณาใช้งานระบบใดระบบหนึ่งก็อาจมีสาเหตุ มาจากเหตุผลอื่นๆ เช่น เหตุผลทางด้านเศรษฐกิจการลงทุนในการผลิต และการใช้เครื่องรับโทรทัศน์เป็นจำนวนมากแล้วถ้าหากจะเปลี่ยนระบบอาจต้องลง ทุนสูง เหตุผลทางด้านการเมือง อาจได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจให้ใช้ระบบใดระบบหนึ่ง
          บทสรุป สัญญาณโทรทัศน์สีในระบบต่างๆที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีหลักการออกแบบคล้ายกัน คือ การส่งโทรทัศน์สีจะต้องทำให้เครื่องรับโทรทัศน์ขาว-ดำและเครื่องรับโทรทัศน์ สีรับสัญญาณได้ โดยสัญญาณที่ส่งออกอากาศจะต้องเป็นสัญญาณเดียวกัน ส่วนคุณภาพของภาพโทรทัศน์นั้นขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางเทคนิคการกำหนดภาพที่ เหมาะสมมี ระบบหลักคือ 25 ภาพ/วินาที และ 30ภาพ/วินาที สัญญาณโทรทัศน์สีในระบบอะนาล็อกนี้จะถูกเปลี่ยนเข้ารหัสเป็นระบบดิจิทัลก่อนที่จะส่งเป็นสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล
 คุณสมบัติของไฟล์วิดีโอ และภาพยนตร์
1. Frame Rate คือความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหวต่อหนึ่งหน่วยเวลา มีหน่วยเป็นเฟรมต่อวินาที โดยอัตราการเคลื่อนไหวที่จะเป็นภาพยนตร์ได้นั้นควรมีค่าขั้นต่ำตั้งแต่ 7-10 fps ค่าเฟรมเรท ขึ้นอยู่กับระบบของภาพยนต์ และระบบวิดีโอต่าง ๆ ดังนี้
ระบบต่าง ๆ
Frame Rate ( fps)

ฟิมล์มภาพยนต์ทั่วไป
24

วิดีโอ ระบบ NTSC
29.79

วิดีโอ ระบบ PALและ SECAM
25

CD-ROM และ เว็บไซต์
15

งาน 3D Animation
30 (non-Drop Frame)

 รูปแบบของไฟล์ วิดีโอ ประเภทต่าง ๆ  ไฟล์วิดีโอมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่รู้จักกันดีมีดังนี้
ประเภท
คุณสมบัติ
1. AVI
เป็นไฟล์มาตรฐานของไฟล์ วิดีโอ ทั่วไป มีความคมชัดสูง แต่จุดด้อยคือ ไฟล์มีขนาดใหญ่(ความจุสูง)
2. MPEG
คือรูปแบบของไฟล์ วิดีโอ ที่ถูกบีบอัด แบบหนึ่ง ได้รับความนิยมมาก ข้อดีคือไฟล์มีขนาดเล็ก เลือกความคมชัดได้หลายแบบ เช่น

MPEG -1
เป็นไฟล์ที่นิยมทำใน วีซีดี เป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็กที่สุด

MPEG -2
เป็นไฟล์ที่นิยมทำ ดีวีดี เป็นไฟล์ขนาดใหญ่มีความคมชัดสูง เมื่อเทียบกับตระกูล เอ็มเพ็ก ด้วยกัน

MPEG -4
เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยม มีคุณภาพเทียบเคียง ดีวีดี แต่มีขนาดเล็ก เหมาะกับการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
3. WMV
เป็นรูปแบบไฟล์มาตรฐาน บนระบบ Windows นิยมเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
4. RM
เป็นรูปแบบของไฟล์โปรแกรม Real One Player นิยมเผยแพร่กันบนอินเทอร์เน็ต
5. MOV
เป็นรูปแบบของไฟล์ โปรแกรม QuickTime ผลิตเพื่อใช้กับเครื่อง Apple แต่เปิดบนระบบWindows ได้เช่นกัน
6. FLV
เป็นไฟล์รูปแบบ Flash Video นิยมเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตเนื่องจากมีไฟล์ขนาดเล็ก

ที่มา:http://www.kroojan.com/corel/page1.htm

วิธีทำชั้นวางของ


วิธีทำชั้นวางของ

อุปกรณ์
1.กระดาษลัง
2.เทปผ้ากาว (Duck Tape)

วิธีทำ


1.ขั้นตอนแรก ตัดกระดาษลังโดยคำนวนด้านกว้างจากเบอร์รองเท้าของคุณ (ยึดตามการวัดขนาดของฝั่งอเมริกาเป็นหลัก) เมื่อรู้เบอร์รองเท้าแล้ว ให้นำไปคูณ 3 เช่น สมมติคุณใส่รองเท้าขนาด 9 นิ้ว คูณด้วย 3 แล้วจะได้ 27 นิ้ว เป็นต้น ส่วนด้านยาวคือ 24 นิ้ว


2. เมื่อตัดกระดาษลังเสร็จแล้ว ให้แบ่งด้านกว้างออกเป็น 3 ส่วนดังภาพ อย่าลืมพับให้เกิดรอยด้วยนะ




3. แปะเทปผ้ากาวที่ริมด้านกว้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง โดยเหลือชายเทปผ้ากาวไว้เล็กน้อยดังภาพ แอบแนะนำให้เลือกสีเทปผ้ากาวสดๆ เพราะจะช่วยให้ห้องดูสดใสขึ้นเยอะเลยล่ะ





4. ใช้กรรไกรขลิบเทปผ้ากาวบริเวณที่เกินออกมาจนถึงมุมกระดาษลัง จากนั้นพับผ้ากาวให้ติดกับกระดาษลัง ดังภาพ





5. พับกระดาษลังให้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมตามรอยพับที่ได้ทำไว้ในขั้นตอนที่ 2 เมื่อประกบกันได้พอดีแล้ว ให้พับเทปผ้ากาวเก็บลงไปด้านล่างให้เรียบร้อย







6. แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมไม่ได้มีรองเท้าแค่คู่เดียว (โดยเฉพาะสาวๆ รองเท้าเยอะกว่ากระเป๋าและเสื้อผ้าเสียอีก) เพราะฉะนั้น ทำกล่องรูปสามเหลี่ยมเพิ่มอีกหลายๆ กล่องเลยค่ะ เราแนะนำให้ทำทั้งหมด 13 กล่อง จะได้เรียงเป็น 3 ชั้นสวยๆ (ชั้นแรกและชั้นที่ 3 ใช้ 4 กล่อง ส่วนชั้นที่ 2 ใช้ 5 กล่อง)


7. เชื่อมกล่องรองเท้าแต่ละชั้นให้ติดกันด้วยกระดาษลังอีกครั้ง เพื่อให้แข็งแรงขึ้น





8. เอาล่ะ… เรียงกล่องเท้าให้ได้แบบในรูปด้านล่าง แล้วดันรองเท้าเข้าไปในช่อง ส่วนคู่ไหนที่ใหญ่เกิน หรือมีรูปร่างไม่พอดีก็ไม่ต้องห่วง หากระดาษลังอีกแผ่นมาวางไว้ด้านบน แล้วจับรองเท้าคู่นั้นไปวางไว้ได้เลย





เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ชั้นวางรองเท้าสุดประหยัด และถ้าจำเป็นต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียดาย สามารถทิ้งรีไซเคิลได้อีกด้วย เป็นไงล่ะ ประโยชน์สองต่อไปเลยใช่ไหม! ส่วนใครที่ไม่ชอบสีลังกระดาษดิบๆ ก็อาจจะเอามาเพ้นต์สีก็ได้นะ อ่ะๆ แต่อย่าลืมพ่นแลคเกอร์ทับ เพื่อป้องกันการตกสีใส่รองเท้าด้วยล่ะ















ที่มา:https://daily.rabbit.co.th/diy-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2/

วิธีทำกระถางดอกไม้


รีไซเคิลกระป๋องเป็นกระถาง Colorful





วัสดุอุปกรณ์ : กระป๋องเหลือใช้, สีสเปร์ย, ค้อน, และ เหล็กปลายแหลม
วิธีทำ : เริ่มจากนำกระป๋องเหลือใช้มาทำความสะอาด เปิดฝาด้านหนึ่งออกไป ส่วนฝาอีกด้านหนึ่งให้เจาะรูทำเป็นรูระบายน้ำ จากนั้นนำไปพ่นสีสเปร์ยให้มีสีสันต่างๆตามใจชอบ ( สามารถเลือกใช้สีสันตามธีม ตามฤดูกาล หรือเลือกใช้สีที่มีอยู่แล้วก็ได้ค่ะ ) ทิ้งไว้ให้สีแห้ง ก็สามารถนำไม้ดอกสีสันต่างๆมาประดับตกแต่งได้เลย
Trick : นำหินก้อนเล็กประมาณ 2-3 ก้อนใส่วางไว้ที่ก้นกระถางจะช่วยเรื่องการระบายน้ำค่ะ











ที่มา:http://www.homedec.in.th/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/